
สะพานรัษฎาภิเศกยามค่ำคืน

บ้านสินานนท์

กาดกองต้าถนนคนเดินฝั่งซ้ายมือ คือ อาคารหม่องหง่วยสิ่น ขวามือ คือ อาคารกาญจนวงศ์ และบ้านอนุรักษ์ (ขนมจีนป้าป๋อง)

ตึกฟองหลี
คุยเฟื่องเมืองเขลางค์
โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี
ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20090516/42042/คุยเฟื่องเมืองเขลางค์.html
ละเลียดอดีตเมืองรถม้า แวะเยือนวัดปงสนุก ชมวิหารพระเจ้าพันองค์ โบราณสถานที่ชุมชนร่วมกันดูแลจนคว้ารางวัลอนุรักษ์จาก UNESCO
นอกจากรถม้า คงแทบนึกไม่ออก ถ้าบอกว่าจะไปเที่ยวลำปาง หรือบางทีเผลอๆ อาจโดนย้อนมุกตลกจมูกโต (อุดม แต้พานิช) ถามเอาดื้อๆ ว่า "ที่ว่า 'ลำปางหนาวมาก' เนี่ย มันหนาวขนาดไหน"
ละเลียด 'อดีต' เขลางค์นคร
ลำปางวันนี้ถึงจะดูไม่คึกคักเหมือนในอดีตที่ผ่านมาเพราะบรรดาขาเที่ยวทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นมักจะกระโดดข้าม 'เมืองรถม้า' ขึ้นไปยังเชียงใหม่ เชียงรายเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า 'เมืองทางผ่าน' อย่างลำปางนี้จะไม่มีของดีไว้อวดใคร ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างสถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ฯ หรือศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อุทยานแห่งชาติดอยจง อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอื่นๆ ให้ได้สัมผัสมนต์เมืองเหนือในมุมมองที่ต่างออกไป
จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนบน ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้และภูเขาสูง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน เป็นที่ตั้งเมืองโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมาตั้งแต่สมัยหริภุญชัย คือ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 13 มีชื่อเรียกในตำนานเป็นภาษาบาลีว่า เขลางค์นคร คำว่า ลคร (นคร) เป็นชื่อสามัญของเมืองเขลางค์ ซึ่งนิยมเรียกกันอย่างแพร่หลาย ปรากฏอยู่ในตำนานศิลาจารึกและพงศาวดาร ส่วนภาษาพูดโดยทั่วไปเรียกว่า ละกอน ดังนั้นเมืองลคร (นคร) จึงหมายถึงบริเวณอันเป็นที่ตั้งของ เขลางค์ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง ในเขตตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปางในปัจจุบัน ส่วนคำว่า ลำปาง ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานวัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเรียกเป็นภาษาบาลีว่า ลัมภกัปปะ
นครลำปางถือเป็นจุดศูนย์รวมทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมล้านนาอันโดดเด่นอีกแห่งหนึ่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรล้านนารวมไปถึงนครลำปางได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานนับ 200 ปี ดังนั้นสถาปัตยกรรม วัดวาอาราม โบราณสถานต่างๆ ในเมืองลำปางจึงได้รับอิทธิพลของศิลปะพม่าอย่างชัดเจน อาทิ วัดศรีชุม วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เป็นต้น
ช่วงสมัยพม่าปกครองอาณาจักรล้านนารวมไปถึงเมืองลำปางไม่ได้สร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง มิหนำซ้ำยังกระทำการย่ำยีข่มเหงชาวบ้านจนทำให้ชาวเมืองเกลียดชังไปทั่ว จนกระทั่ง เจ้าพ่อทิพย์ช้าง แห่งบ้านปกยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) รวบรวมชาวเมืองขับไล่พม่าพ้นเมืองลำปางออกไปได้สำเร็จ ก่อนจะได้รับการสถาปนาจากชาวเมืองให้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองลำปาง มีพระนามว่า พญาสุวฤๅไชยสงคราม เวลานั้นเมืองลำปางเป็นเมืองเดียวในล้านนาที่ปราศจากอำนาจปกครองจากพม่า
ต่อมาลูกหลานของท่านได้กอบกู้เอกราชขับไล่พม่าจากแผ่นดินล้านนา และได้เป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่ ลำพูน น่าน ต้นตระกูลของท่านมีนามปรากฏในพงศาวดารว่าราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบอบการปกครองเป็นระบอบมณฑล เมืองลำปางขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพ (เมืองเชียงใหม่) และมณฑลมหาราษฎร์ (เมืองแพร่) ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนแปลงเป็นจังหวัด เมืองลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
'ปงสนุก' เรื่องเล่าจากคนตัวเล็ก
ยังไม่ต้องขวนขวายออกไปไกลจากตัวเมืองให้เหนื่อย เพราะหากลัดเลาะตามถนนในเมืองไปจนถึงเขต ต.เวียงเหนือ เราจะพบวัดปงสนุกซึ่งเป็นวัดสำคัญคู่กับจังหวัดลำปางมาช้านาน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่เจ้าอนันตยศ ราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญชัย (ลำพูน) เสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) เมื่อ พ.ศ.1223 หรือ 1,328 ปีก่อน
"วัดนี้เคยเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองหลักแรกของลำปางด้วยนะ" อ.อนุกูล ศิริพันธุ์ สมาชิกเทศบาลนครลำปาง ประธานชุมชนบ้านปงสนุกเหนือ และนักวิชาการท้องถิ่นไกด์กิตติมศักดิ์ประจำทริพูดขึ้นขณะพาออกเดินดูอาคาร
เขาเล่าว่า วัดปงสนุก แบ่งออกเป็นวัดปงสนุกเหนือ และวัดปงสนุกใต้ ภายในเขตใบพัทธสีมาเดียวกัน เนื่องมาจากพระสงฆ์-สามเณรในอดีตมีจำนวนมาก จึงแบ่งกันช่วยดูแลรักษาวัด แต่ถึงอย่างไรทั้งสองวัดก็นับถือกันว่าเป็นวัดพี่วัดน้องอาศัยช่วยเหลือกันมาโดยตลอด วัดปงสนุกในอดีตถือว่าเป็นวัดที่มีสำคัญและมีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับเมืองลำปาง อาทิเช่น เป็นสถานที่ดำน้ำชิงเมืองบริเวณหน้าวัดระหว่างเจ้าฟ้าชายแก้วและเจ้าลิ้นก่าน ราวปี พ.ศ. 2302 และยังเป็นสถานที่ฝังเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองหลักแรก เมื่อ พ.ศ. 2400 สมัยเจ้าหลวงเจ้าวรญาณรังษีราชธรรม เสาหลักเมืองดังกล่าว ถูกย้ายไปฝังไว้ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในปัจจุบัน
ตามบันทึกจากตำราโบราณนั้นพบว่า เดิมวัดปงสนุกมีชื่อเรียกถึง 4 ชื่อ ได้แก่ วัดศรีจอมไคล-วัดเชียงภูมิ-วัดดอนแก้ว-วัดพะยาว (พะเยา) โดยทั้งหมดนั้นเป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การอพยพผู้คนในช่วงที่พญากาวิละได้ยกทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงแสน และได้กวาดต้อนชาวเชียงแสนที่เป็นชาวบ้านบ้านปงสนุกมาตั้งถิ่นฐานที่ลำปาง รวมถึงการอพยพของคนเมืองพะยาวที่หนีศึกพม่าลงมายังลำปาง ชาวปงสนุกเชียงแสน และชาวพะยาว จึงได้ ตั้งบ้านเรือนและสร้างวัดในชุมชนขึ้น โดยนำชื่อวัดจากเชียงแสนมาใช้เป็นชื่อวัดแห่งนี้
ลักษณะทั่วไปของวัดปงสนุกเหนือนั้นเป็นวัดที่สร้างอยู่บนเนินสูงตามแบบผังวัดล้านนาโบราณ โดยมี ม่อนดอย หรือ เนินเขาพระสุเมรุจำลอง อันเป็นที่ตั้งของวิหารพระเจ้าพันองค์ สร้างด้วยไม้ในลักษณะมณฑปหลังคาซ้อนสามชั้น บนสันหลังคาเหนือมุขทั้งสี่สร้างปราสาทไม้จำลองขนาดเล็กหุ้มด้วยสังกะสีฉลุลาย สื่อความหมายถึงทวีปทั้งสี่รอบเขาพระสุเมรุ ลักษณะตัวอาคารผสมผสานระหว่างศิลปกรรมล้านนา พม่าและจีน หลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
กลางวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์หันพระพักตร์ออกสี่ทิศ ประทับนั่งใต้โพธิพฤกษ์ทำด้วยตะกั่ว ด้านล่างของฐานชุกชีประดับลวดลายรูปช้าง นาค สิงห์ นกอินทรี มีความเชื่อสืบกันมาว่า วิหารหลังนี้สร้างโดยช่างเชียงแสน เลียนแบบหอคำเมืองเชียงเกี๋ยง (เชียงเจิ๋ง) ในสิบสองปันนา ประเทศจีน ซึ่งไม่หลงเหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยความงดงามของวิหารแห่งนี้ทำให้กลายเป็นแรงบันดาลในการสร้างสถาปัตยกรรมในสมัยหลัง อาทิเช่น หอคำ ไร่แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และวิหารสี่ครูบา วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่
"ทำไมถึงชื่อวิหารพระเจ้าพันองค์รู้ไหม" อ.อนุกูลตั้งคำถาม
หลังจากสอดส่ายสายตาอยู่นานจนแน่ใจว่าคงไม่มีใครตอบคำถามอย่างแน่นอน เขาจึงชี้ให้ดูรอบๆ ผนังด้านบนของพระวิหาร เราจึงถึงบางอ้อ
"รอบพระวิหารประดับด้วยพระพุทธรูปทั้งหมด 1,080 องค์"
นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์สื่อความหมายถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวปงสนุกให้ถอดรหัสอย่างมากมาย จนไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมวัดในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งของลำปางสามารถคว้ารางวัลดี (Award of Merit) ด้านการอนุรักษ์มรดกทางด้านวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามโครงการ 2008 Asia-Pacific Heritage Award for Cultural Heritage Conservation จากองค์การ UNESCOมาได้
อ.อนุกูลเล่าถึงแรงบันดาลใจของชุมชนที่ออกมาช่วยกันบูรณะเจดีย์และวิหารพระเจ้าพันองค์ว่า เนื่องจากมองเห็นถึงความสำคัญของมรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างเอาไว้ อีกทั้งมีนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ คนไทย และกลุ่มนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้ามาค้นคว้าหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของวัดจำนวนมาก ทำให้ทางวัดปงสนุกได้ตัดสินใจส่งเรื่องให้กรมศิลปากรพิจารณา เพื่อจัดทำโครงการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมวิหารพระเจ้าพันองค์ ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
โดยตลอดเวลา 4 ปี ที่ได้ร่วมกันบูรณะ ทางชุมชนได้ใช้กิจกรรมด้านศาสนาเป็นตัวชูโรง เพื่อให้ได้ทั้งพลังชุมชนและปัจจัยมาใช้ในการบูรณะดังกล่าว จนส่งผลให้เกิดกระแสการตื่นตัว ในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในลำปางขึ้นอย่างกว้างขวางจนถึงขณะนี้
ปัจจุบันถึงแม้จะมีการบูรณะเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง แต่วัดปงสนุกก็ยังเป็นแหล่งรวมของสิ่งสำคัญหลายอย่างที่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม อาทิ พระพุทธรูปไม้ เสาหงส์ ซุ้มประตูโขง ภาพพระบฎ เขียนเรื่องพระเวสสันดรบนผ้าและกระดาษสา หีบธรรมโบราณ และธงช้างเผือกขนาดใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งทางวัดได้นำมารวมไว้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงให้กับผู้ที่สนใจได้รับชม
"อย่าเอาไปเล่าต่อเยอะนะทุกวันนี้ชาวบ้านเขาจะรับแขกกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว" เขาตบมุขส่งท้าย
หอม 'อดีต' กาดกองต้า
นอกจากเรื่องราวเชิงพุทธศิลป์ที่มีอยู่แล้ว ลำปางยังมีเรื่องเล่าจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชนเก่ากลางใจเมืองให้ค้นหาที่ กาดกองต้า อีกด้วย
ผิวน้ำราบเรียบค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่แดดหลบหลังฟ้าไปตั้งแต่ค่อนชั่วโมงที่แล้ว ถนนคอนกรีตขนาบน้ำดูว่างเปล่าหลังนาฬิกาตีเวลาเลิกงาน ปลายสะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว ที่ทอดผ่านแม่น้ำวังยังคงมียวดยานของผู้คนสัญจรผ่านไปมาให้ย่านเก่าแห่งนี้ยังพอดูคึกคักอยู่บ้าง อาคารไม้เรียงสลับตึกปูนทอดแนวลึกสุดสายตา อาจทำให้ใครหลายคนยังจินตนาการถึงหน้าตาของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตไม่ค่อยออกเท่าไหร่
"กาดกองต้าแปลว่า ตลาดตรอกท่าน้ำ" ไตรเทพ บุญเฮง ประชาสัมพันธ์ถนนคนเดินกาดกองต้า ให้ข้อมูลประกอบ เขาบอกว่า กาดกองต้า หรือ ตลาดจีนที่ชาวบ้านเรียกติดปากนั้น อยู่คู่ขนานกับแม่น้ำวัง บนถนนตลอดสาย จุดเริ่มต้นอยู่บริเวณเชิงสะพานรัษฎาไล่ไปจนสุดปลายถนน ย้อนเวลากลับไปราว 100 ปี ก่อน ตลาดแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของเมืองลำปางและภาคเหนือ
ในอดีตลำปางเป็นเมืองที่สำคัญ แม้ไม่โดดเด่นเท่าเชียงใหม่ แต่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของการค้าขาย เพราะสมัยนั้นการเดินทางทางน้ำ การลำเลียงสินค้าจากเมืองเหนือลงไปเมืองใต้ หรือใต้ขึ้นเหนือ ล้วนใช้เส้นทางน้ำ ขึ้นมาตามแม่น้ำสายหลัก เข้าลำน้ำวังสุดทางที่เขลางค์นคร
"ท่าน้ำใหญ่เชิงสะพานรัษฎา กาดกองต้า จึงเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ คับคั่งไปด้วยพ่อค้าวาณิชจากหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน พม่า แขก ฝรั่งทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมในเวลาต่อมา โดยที่เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนก็คือ สถาปัตยกรรมที่แสดงผ่านอาคารบ้านเรือนตลอดทั้งย่าน โดยมีเรือนจีน และเรือนขนมปังขิงแบบฝรั่งออกจะโดดเด่นกว่าเพื่อน"
กระทั่งเมื่อรถไฟสายเหนือ กรุงเทพฯ-ลำปาง ขบวนแรกเปิดให้บริการ ได้กลายเป็นการนับถอยหลังความรุ่งเรืองของตลาดไปโดยปริยาย ศูนย์กลางทางการค้าเปลี่ยน จากท่าเรือมาเป็นสถานีรถไฟ และช่วงนี้เอง รถม้าลำปางได้ถือกำเนิดเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคน และสินค้าเข้าสู่ตัวเมือง
ปัจจุบันย่านกาดกองต้าได้แปรสภาพเป็นแหล่งวัฒนธรรมร่วมสมัยด้วยการเปิด ตลาดนัดกองต้า โดยทางชุมชนกองต้าเหนือและใต้คัดเลือกตัวแทนขึ้นมาทำหน้าที่คณะกรรมการตลาด เปิดโอกาสให้คนมาขายของที่กองต้าไม่ต้องจ่ายเงินค่าที่ เสียแค่ค่าไฟให้เจ้าของบ้านที่มาตั้งแผงริมถนนหน้าบ้านเพียงดวงละ 10 บาทเท่านั้น
"ถ้าต้องการความสงบ ซึมซับบรรยากาศ และชื่นชมสถาปัตยกรรม มาจันทร์-ศุกร์ ถ้าต้องการความคึกคักของถนนคนเดิน เสาร์-อาทิตย์" เขาย้ำ
ดวงไฟเต้นระบำอยู่กลางสายน้ำขณะที่ความมืดโรยตัวห่มคลุมเมืองรถม้าเอาไว้อีกคืนหนึ่ง หลายบ้านปิดประตูไปนานแล้ว เหลือแต่พ่อค้าแม่ค้ากลางคืนที่เพิ่งเริ่มเข็นข้าวของออกตระเวนเร่ขาย
แม้ความคึกคักในอดีตจะถูกปิดไปด้วยกาลเวลาของปัจจุบัน แต่นั่นก็ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ทำให้เราได้เห็นว่า เมืองรถม้าลำปางทุกวันนี้ ยังน่าค้นหาอยู่
- การเดินทาง
สำหรับรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถึงกิโลเมตรที่ 52 แยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 32 ผ่าน สิงห์บุรี ชัยนาท เข้านครสวรรค์ แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก ตรงเข้าสู่จังหวัดลำปาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 599 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง หรือจะใช้เส้นทางสายใหม่ จากพิษณุโลกเข้า เด่นชัยและลำปางก็ได้
รถโดยสารประจำทาง มีให้เลือกทั้งรถธรรมดาและปรับอากาศ ส่วนรถไฟมีบริการรถด่วน รถเร็ว และรถธรรมดา จากกรุงเทพฯ - ไปลำปาง ทุกวัน รายละเอียดสอบถามได้ที่ โทร. 02-223-7010, 02-223-7020 และที่สถานีรถไฟลำปาง โทร.054-271-024
ถ้าต้องการความรวดเร็วสามารถเดินทางโดยเครื่องบิน มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯทุกวัน รายละเอียดสอบถามได้ที่การบินไทย โทร.02-280-0070, 02-280-0080
............................
คนกองต้าเหนือ
พุธ 3
มิถุนา 52