ช่างฟ้อน เช้าวันตักบาตรงานแอ่วขัวหลวงรัษฎาฯ มีนาคม 2552

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เค้ามองกาดกองต้ากันยังไง? ตอนที่ 5 : เสียงจากกรุงเทพธุรกิจ


สะพานรัษฎาภิเศกยามค่ำคืน


บ้านสินานนท์


กาดกองต้าถนนคนเดินฝั่งซ้ายมือ คือ อาคารหม่องหง่วยสิ่น ขวามือ คือ อาคารกาญจนวงศ์ และบ้านอนุรักษ์ (ขนมจีนป้าป๋อง)


ตึกฟองหลี

คุยเฟื่องเมืองเขลางค์

วันที่ 16 พฤษภาคม 2552

ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20090516/42042/คุยเฟื่องเมืองเขลางค์.html

ละเลียดอดีตเมืองรถม้า แวะเยือนวัดปงสนุก ชมวิหารพระเจ้าพันองค์ โบราณสถานที่ชุมชนร่วมกันดูแลจนคว้ารางวัลอนุรักษ์จาก UNESCO

นอกจากรถม้า คงแทบนึกไม่ออก ถ้าบอกว่าจะไปเที่ยวลำปาง หรือบางทีเผลอๆ อาจโดนย้อนมุกตลกจมูกโต (อุดม แต้พานิช) ถามเอาดื้อๆ ว่า "ที่ว่า 'ลำปางหนาวมาก' เนี่ย มันหนาวขนาดไหน"

ละเลียด 'อดีต' เขลางค์นคร

ลำปางวันนี้ถึงจะดูไม่คึกคักเหมือนในอดีตที่ผ่านมาเพราะบรรดาขาเที่ยวทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นมักจะกระโดดข้าม 'เมืองรถม้า' ขึ้นไปยังเชียงใหม่ เชียงรายเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า 'เมืองทางผ่าน' อย่างลำปางนี้จะไม่มีของดีไว้อวดใคร ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างสถาบันคชบาลแห่งชาติในพระอุปถัมภ์ฯ หรือศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อุทยานแห่งชาติดอยจง อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอื่นๆ ให้ได้สัมผัสมนต์เมืองเหนือในมุมมองที่ต่างออกไป

จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนบน ภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้และภูเขาสูง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน เป็นที่ตั้งเมืองโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมาตั้งแต่สมัยหริภุญชัย คือ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 13 มีชื่อเรียกในตำนานเป็นภาษาบาลีว่า เขลางค์นคร คำว่า ลคร (นคร) เป็นชื่อสามัญของเมืองเขลางค์ ซึ่งนิยมเรียกกันอย่างแพร่หลาย ปรากฏอยู่ในตำนานศิลาจารึกและพงศาวดาร ส่วนภาษาพูดโดยทั่วไปเรียกว่า ละกอน ดังนั้นเมืองลคร (นคร) จึงหมายถึงบริเวณอันเป็นที่ตั้งของ เขลางค์ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวัง ในเขตตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดลำปางในปัจจุบัน ส่วนคำว่า ลำปาง ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานวัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเรียกเป็นภาษาบาลีว่า ลัมภกัปปะ

นครลำปางถือเป็นจุดศูนย์รวมทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมล้านนาอันโดดเด่นอีกแห่งหนึ่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรล้านนารวมไปถึงนครลำปางได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานนับ 200 ปี ดังนั้นสถาปัตยกรรม วัดวาอาราม โบราณสถานต่างๆ ในเมืองลำปางจึงได้รับอิทธิพลของศิลปะพม่าอย่างชัดเจน อาทิ วัดศรีชุม วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เป็นต้น

ช่วงสมัยพม่าปกครองอาณาจักรล้านนารวมไปถึงเมืองลำปางไม่ได้สร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง มิหนำซ้ำยังกระทำการย่ำยีข่มเหงชาวบ้านจนทำให้ชาวเมืองเกลียดชังไปทั่ว จนกระทั่ง เจ้าพ่อทิพย์ช้าง แห่งบ้านปกยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) รวบรวมชาวเมืองขับไล่พม่าพ้นเมืองลำปางออกไปได้สำเร็จ ก่อนจะได้รับการสถาปนาจากชาวเมืองให้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองลำปาง มีพระนามว่า พญาสุวฤๅไชยสงคราม เวลานั้นเมืองลำปางเป็นเมืองเดียวในล้านนาที่ปราศจากอำนาจปกครองจากพม่า

ต่อมาลูกหลานของท่านได้กอบกู้เอกราชขับไล่พม่าจากแผ่นดินล้านนา และได้เป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่ ลำพูน น่าน ต้นตระกูลของท่านมีนามปรากฏในพงศาวดารว่าราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูประบอบการปกครองเป็นระบอบมณฑล เมืองลำปางขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพ (เมืองเชียงใหม่) และมณฑลมหาราษฎร์ (เมืองแพร่) ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนแปลงเป็นจังหวัด เมืองลำปางจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

'ปงสนุก' เรื่องเล่าจากคนตัวเล็ก

ยังไม่ต้องขวนขวายออกไปไกลจากตัวเมืองให้เหนื่อย เพราะหากลัดเลาะตามถนนในเมืองไปจนถึงเขต ต.เวียงเหนือ เราจะพบวัดปงสนุกซึ่งเป็นวัดสำคัญคู่กับจังหวัดลำปางมาช้านาน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยที่เจ้าอนันตยศ ราชบุตรของพระนางจามเทวีแห่งหริภุญชัย (ลำพูน) เสด็จมาสร้างเขลางค์นคร (ลำปาง) เมื่อ พ.ศ.1223 หรือ 1,328 ปีก่อน

"วัดนี้เคยเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองหลักแรกของลำปางด้วยนะ" อ.อนุกูล ศิริพันธุ์ สมาชิกเทศบาลนครลำปาง ประธานชุมชนบ้านปงสนุกเหนือ และนักวิชาการท้องถิ่นไกด์กิตติมศักดิ์ประจำทริพูดขึ้นขณะพาออกเดินดูอาคาร

เขาเล่าว่า วัดปงสนุก แบ่งออกเป็นวัดปงสนุกเหนือ และวัดปงสนุกใต้ ภายในเขตใบพัทธสีมาเดียวกัน เนื่องมาจากพระสงฆ์-สามเณรในอดีตมีจำนวนมาก จึงแบ่งกันช่วยดูแลรักษาวัด แต่ถึงอย่างไรทั้งสองวัดก็นับถือกันว่าเป็นวัดพี่วัดน้องอาศัยช่วยเหลือกันมาโดยตลอด วัดปงสนุกในอดีตถือว่าเป็นวัดที่มีสำคัญและมีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับเมืองลำปาง อาทิเช่น เป็นสถานที่ดำน้ำชิงเมืองบริเวณหน้าวัดระหว่างเจ้าฟ้าชายแก้วและเจ้าลิ้นก่าน ราวปี พ.ศ. 2302 และยังเป็นสถานที่ฝังเสาอินทขิลหรือเสาหลักเมืองหลักแรก เมื่อ พ.ศ. 2400 สมัยเจ้าหลวงเจ้าวรญาณรังษีราชธรรม เสาหลักเมืองดังกล่าว ถูกย้ายไปฝังไว้ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในปัจจุบัน

ตามบันทึกจากตำราโบราณนั้นพบว่า เดิมวัดปงสนุกมีชื่อเรียกถึง 4 ชื่อ ได้แก่ วัดศรีจอมไคล-วัดเชียงภูมิ-วัดดอนแก้ว-วัดพะยาว (พะเยา) โดยทั้งหมดนั้นเป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การอพยพผู้คนในช่วงที่พญากาวิละได้ยกทัพเข้าโจมตีเมืองเชียงแสน และได้กวาดต้อนชาวเชียงแสนที่เป็นชาวบ้านบ้านปงสนุกมาตั้งถิ่นฐานที่ลำปาง รวมถึงการอพยพของคนเมืองพะยาวที่หนีศึกพม่าลงมายังลำปาง ชาวปงสนุกเชียงแสน และชาวพะยาว จึงได้ ตั้งบ้านเรือนและสร้างวัดในชุมชนขึ้น โดยนำชื่อวัดจากเชียงแสนมาใช้เป็นชื่อวัดแห่งนี้

ลักษณะทั่วไปของวัดปงสนุกเหนือนั้นเป็นวัดที่สร้างอยู่บนเนินสูงตามแบบผังวัดล้านนาโบราณ โดยมี ม่อนดอย หรือ เนินเขาพระสุเมรุจำลอง อันเป็นที่ตั้งของวิหารพระเจ้าพันองค์ สร้างด้วยไม้ในลักษณะมณฑปหลังคาซ้อนสามชั้น บนสันหลังคาเหนือมุขทั้งสี่สร้างปราสาทไม้จำลองขนาดเล็กหุ้มด้วยสังกะสีฉลุลาย สื่อความหมายถึงทวีปทั้งสี่รอบเขาพระสุเมรุ ลักษณะตัวอาคารผสมผสานระหว่างศิลปกรรมล้านนา พม่าและจีน หลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย

กลางวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสี่องค์หันพระพักตร์ออกสี่ทิศ ประทับนั่งใต้โพธิพฤกษ์ทำด้วยตะกั่ว ด้านล่างของฐานชุกชีประดับลวดลายรูปช้าง นาค สิงห์ นกอินทรี มีความเชื่อสืบกันมาว่า วิหารหลังนี้สร้างโดยช่างเชียงแสน เลียนแบบหอคำเมืองเชียงเกี๋ยง (เชียงเจิ๋ง) ในสิบสองปันนา ประเทศจีน ซึ่งไม่หลงเหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยความงดงามของวิหารแห่งนี้ทำให้กลายเป็นแรงบันดาลในการสร้างสถาปัตยกรรมในสมัยหลัง อาทิเช่น หอคำ ไร่แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย และวิหารสี่ครูบา วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่

"ทำไมถึงชื่อวิหารพระเจ้าพันองค์รู้ไหม" อ.อนุกูลตั้งคำถาม

หลังจากสอดส่ายสายตาอยู่นานจนแน่ใจว่าคงไม่มีใครตอบคำถามอย่างแน่นอน เขาจึงชี้ให้ดูรอบๆ ผนังด้านบนของพระวิหาร เราจึงถึงบางอ้อ

"รอบพระวิหารประดับด้วยพระพุทธรูปทั้งหมด 1,080 องค์"

นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์สื่อความหมายถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวปงสนุกให้ถอดรหัสอย่างมากมาย จนไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมวัดในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งของลำปางสามารถคว้ารางวัลดี (Award of Merit) ด้านการอนุรักษ์มรดกทางด้านวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามโครงการ 2008 Asia-Pacific Heritage Award for Cultural Heritage Conservation จากองค์การ UNESCOมาได้

อ.อนุกูลเล่าถึงแรงบันดาลใจของชุมชนที่ออกมาช่วยกันบูรณะเจดีย์และวิหารพระเจ้าพันองค์ว่า เนื่องจากมองเห็นถึงความสำคัญของมรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างเอาไว้ อีกทั้งมีนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ คนไทย และกลุ่มนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ เข้ามาค้นคว้าหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของวัดจำนวนมาก ทำให้ทางวัดปงสนุกได้ตัดสินใจส่งเรื่องให้กรมศิลปากรพิจารณา เพื่อจัดทำโครงการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมวิหารพระเจ้าพันองค์ ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

โดยตลอดเวลา 4 ปี ที่ได้ร่วมกันบูรณะ ทางชุมชนได้ใช้กิจกรรมด้านศาสนาเป็นตัวชูโรง เพื่อให้ได้ทั้งพลังชุมชนและปัจจัยมาใช้ในการบูรณะดังกล่าว จนส่งผลให้เกิดกระแสการตื่นตัว ในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในลำปางขึ้นอย่างกว้างขวางจนถึงขณะนี้

ปัจจุบันถึงแม้จะมีการบูรณะเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง แต่วัดปงสนุกก็ยังเป็นแหล่งรวมของสิ่งสำคัญหลายอย่างที่ทรงคุณค่าทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม  อาทิ พระพุทธรูปไม้ เสาหงส์ ซุ้มประตูโขง ภาพพระบฎ เขียนเรื่องพระเวสสันดรบนผ้าและกระดาษสา หีบธรรมโบราณ และธงช้างเผือกขนาดใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งทางวัดได้นำมารวมไว้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงให้กับผู้ที่สนใจได้รับชม

"อย่าเอาไปเล่าต่อเยอะนะทุกวันนี้ชาวบ้านเขาจะรับแขกกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว" เขาตบมุขส่งท้าย

หอม 'อดีต' กาดกองต้า

นอกจากเรื่องราวเชิงพุทธศิลป์ที่มีอยู่แล้ว ลำปางยังมีเรื่องเล่าจากความหลากหลายทางวัฒนธรรมของชุมชนเก่ากลางใจเมืองให้ค้นหาที่ กาดกองต้า อีกด้วย

ผิวน้ำราบเรียบค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่แดดหลบหลังฟ้าไปตั้งแต่ค่อนชั่วโมงที่แล้ว ถนนคอนกรีตขนาบน้ำดูว่างเปล่าหลังนาฬิกาตีเวลาเลิกงาน ปลายสะพานรัษฎาภิเศก หรือ สะพานขาว ที่ทอดผ่านแม่น้ำวังยังคงมียวดยานของผู้คนสัญจรผ่านไปมาให้ย่านเก่าแห่งนี้ยังพอดูคึกคักอยู่บ้าง อาคารไม้เรียงสลับตึกปูนทอดแนวลึกสุดสายตา อาจทำให้ใครหลายคนยังจินตนาการถึงหน้าตาของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตไม่ค่อยออกเท่าไหร่

"กาดกองต้าแปลว่า ตลาดตรอกท่าน้ำ" ไตรเทพ บุญเฮง ประชาสัมพันธ์ถนนคนเดินกาดกองต้า ให้ข้อมูลประกอบ   เขาบอกว่า กาดกองต้า หรือ ตลาดจีนที่ชาวบ้านเรียกติดปากนั้น อยู่คู่ขนานกับแม่น้ำวัง บนถนนตลอดสาย จุดเริ่มต้นอยู่บริเวณเชิงสะพานรัษฎาไล่ไปจนสุดปลายถนน ย้อนเวลากลับไปราว 100 ปี ก่อน ตลาดแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของเมืองลำปางและภาคเหนือ

ในอดีตลำปางเป็นเมืองที่สำคัญ แม้ไม่โดดเด่นเท่าเชียงใหม่ แต่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของการค้าขาย เพราะสมัยนั้นการเดินทางทางน้ำ การลำเลียงสินค้าจากเมืองเหนือลงไปเมืองใต้ หรือใต้ขึ้นเหนือ ล้วนใช้เส้นทางน้ำ ขึ้นมาตามแม่น้ำสายหลัก เข้าลำน้ำวังสุดทางที่เขลางค์นคร

"ท่าน้ำใหญ่เชิงสะพานรัษฎา กาดกองต้า จึงเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ คับคั่งไปด้วยพ่อค้าวาณิชจากหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน พม่า แขก ฝรั่งทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมในเวลาต่อมา โดยที่เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนก็คือ สถาปัตยกรรมที่แสดงผ่านอาคารบ้านเรือนตลอดทั้งย่าน โดยมีเรือนจีน และเรือนขนมปังขิงแบบฝรั่งออกจะโดดเด่นกว่าเพื่อน"

กระทั่งเมื่อรถไฟสายเหนือ กรุงเทพฯ-ลำปาง ขบวนแรกเปิดให้บริการ ได้กลายเป็นการนับถอยหลังความรุ่งเรืองของตลาดไปโดยปริยาย ศูนย์กลางทางการค้าเปลี่ยน จากท่าเรือมาเป็นสถานีรถไฟ และช่วงนี้เอง รถม้าลำปางได้ถือกำเนิดเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคน และสินค้าเข้าสู่ตัวเมือง

ปัจจุบันย่านกาดกองต้าได้แปรสภาพเป็นแหล่งวัฒนธรรมร่วมสมัยด้วยการเปิด ตลาดนัดกองต้า โดยทางชุมชนกองต้าเหนือและใต้คัดเลือกตัวแทนขึ้นมาทำหน้าที่คณะกรรมการตลาด เปิดโอกาสให้คนมาขายของที่กองต้าไม่ต้องจ่ายเงินค่าที่ เสียแค่ค่าไฟให้เจ้าของบ้านที่มาตั้งแผงริมถนนหน้าบ้านเพียงดวงละ 10 บาทเท่านั้น

"ถ้าต้องการความสงบ ซึมซับบรรยากาศ และชื่นชมสถาปัตยกรรม มาจันทร์-ศุกร์ ถ้าต้องการความคึกคักของถนนคนเดิน เสาร์-อาทิตย์" เขาย้ำ

ดวงไฟเต้นระบำอยู่กลางสายน้ำขณะที่ความมืดโรยตัวห่มคลุมเมืองรถม้าเอาไว้อีกคืนหนึ่ง หลายบ้านปิดประตูไปนานแล้ว เหลือแต่พ่อค้าแม่ค้ากลางคืนที่เพิ่งเริ่มเข็นข้าวของออกตระเวนเร่ขาย

แม้ความคึกคักในอดีตจะถูกปิดไปด้วยกาลเวลาของปัจจุบัน แต่นั่นก็ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ทำให้เราได้เห็นว่า เมืองรถม้าลำปางทุกวันนี้ ยังน่าค้นหาอยู่

  • การเดินทาง

สำหรับรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถึงกิโลเมตรที่ 52 แยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 32 ผ่าน สิงห์บุรี ชัยนาท เข้านครสวรรค์ แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก ตรงเข้าสู่จังหวัดลำปาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 599 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง หรือจะใช้เส้นทางสายใหม่ จากพิษณุโลกเข้า เด่นชัยและลำปางก็ได้

รถโดยสารประจำทาง มีให้เลือกทั้งรถธรรมดาและปรับอากาศ ส่วนรถไฟมีบริการรถด่วน รถเร็ว และรถธรรมดา จากกรุงเทพฯ - ไปลำปาง ทุกวัน รายละเอียดสอบถามได้ที่ โทร. 02-223-7010, 02-223-7020 และที่สถานีรถไฟลำปาง โทร.054-271-024

ถ้าต้องการความรวดเร็วสามารถเดินทางโดยเครื่องบิน มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯทุกวัน รายละเอียดสอบถามได้ที่การบินไทย โทร.02-280-0070, 02-280-0080

............................

คนกองต้าเหนือ
พุธ 3
มิถุนา 52


วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เค้ามองกาดกองต้ากันยังไง? ตอนที่ 4 : เสียงจากเดลินิวส์

ตลาดกองต้า ถนนคนเดินนครลำปาง 
บทความจากเดลินิวส์
วันที่ : 18 พฤศจิกายน 2550
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/popup_news_print.aspx?newsid=146321&NewsType=1&Template=1


ทุกค่ำคืนวันเสาร์ และอาทิตย์ ถนนกองต้า ใกล้สะพานรัษฎา สะพานสวยสีขาว อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจังหวัดลำปาง จะคลาคล่ำไปด้วยคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่มาชอปปิง ณ ตลาด หรือกาดแห่งนี้ 
 
ในภาษาเหนือ กองต้า หมายถึงทางไปสู่ท่าเรือ 
 
ตลาดนัดกองต้า หรือกาดกองต้า เป็นที่รู้จักของชาวลำปางมานานร่วม 2 ปี เป็นตลาดที่บริหารและจัดการโดยชุมชนกองต้าเหนือและใต้ที่คัดเลือกตัวแทนขึ้นมาทำหน้าที่คณะกรรมการตลาด 
 
เชื่อหรือไม่ว่า มาขายของที่กองต้า ไม่ต้องจ่ายเงินค่าที่ เสียแค่ค่าไฟให้เจ้าของบ้านที่เรามาตั้งแผงริมถนนหน้าบ้าน เพียงดวงละ 10 บาทเท่านั้น
 
ขวัญพงศ์ คมสัน ประธานชุมชนเขตกองต้า เจ้าของบ้านโบราณหลังสวย มรดกตกทอดกันมาหลายรุ่น ในถนนกองต้า เล่าให้ฟังว่า คณะกรรมการชุมชนซึ่งทำหน้าที่บริหารและดูแลตลาดกองต้าแห่งนี้ มีหน้าที่บริการแก่พ่อค้า แม่ค้า เช่น จัดระเบียบเรื่องการวางแผง ดูแลความสงบเรียบร้อย ในช่วงที่มีตลาดนัด ตั้งแต่เริ่มปิดถนนไปจนถึงคืนถนนให้ชุมชน ในเวลาประมาณสี่ทุ่ม รวมถึงดูแลเรื่องความสะอาด และกระจายเสียงตามสายแจ้งข่าวแก่ผู้มาเยือนและพ่อค้า  แม่ค้าที่ตลาดแห่งนี้
 
ผู้มาขายหรือมาร่วมกิจกรรมที่กาดกองต้า หรือตลาดกองต้า จะมีกติการ่วมกันก็คือ ไม่เสียค่าที่หากวางแผงบนถนน จ่ายเพียงค่าไฟดวงละ 10 บาทให้เจ้าของบ้านที่เราวางแผงหน้าบ้านเท่านั้น ยกเว้นผู้ที่ต้องการขายในร้านก็ต้องจ่ายค่าเช่าให้เจ้าของบ้านตามแต่จะตกลงกัน ผู้ขายจะได้แผงบริเวณเดิมเป็นประจำตลอดไป หากสัปดาห์ไหนไม่มาขายต้องแจ้งคณะกรรมการ เพื่อเลือกรายอื่นให้มาลงล็อกแทน
 
มนต์เสน่ห์ของกาดกองต้า จึงอยู่ที่สินค้าที่พ่อค้า แม่ค้ามือสมัครเล่น ที่ระหว่างสัปดาห์ก็ทำงานประจำและใช้เวลาว่างเตรียมของมาขายวันเสาร์และอาทิตย์ หากเดินเข้าสู่กาดช่วงต้นถนน อาจจะบอกว่าไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง มีแต่ของเหมือนกรุงเทพฯ ขอแนะนำว่าอย่าเพิ่งท้อ อดทนเดินฝ่าผู้คนเข้ามาด้านในลึก ๆ แล้วจะค้นพบความน่ารัก น่าหลงใหลของกองต้า ที่มีงานฝืมือแฮนด์เมด เช่น ตุ๊กตาเปเปอร์มาเช่รูปสารพัดสัตว์ทั้งตัวเล็กและใหญ่ ราคาถูกจนอยากจะอุ้มกลับบ้านทุกตัว หรือเก้าอี้นั่งรูปสัตว์เปเปอร์มาเช่ 
 
ตุ๊กตาทำจากใยกล้วยของกลุ่มดีก้า เยาวชนในลำปางที่นำใยกล้วยมาขยี้ ๆ ผ่านกรรมวิธีมากมายก่อนจะปั้นเป็นตุ๊กตาหน้าตาน่ารัก พร้อมข้อความพิเศษ ๆ โดนใจในราคาแค่ 25 บาท ยังไม่หมด เดินต่ออีกนิดก็จะเจองานฝีมือประเภทโคมกระดาษแบบเหนือ โปสต์การ์ด เสื้อยืด เสื้อผ้าฝ้ายรูปไก่ หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่นักท่องเที่ยวควรจะซื้อกลับบ้านเพื่อยืนยันว่ามาเยือนนครลำปาง นอกเหนือไปจากเซรามิก ชามไก่ที่อดใจไม่ไหวต้องแบกกลับบ้านด้วยทุกครั้งที่มา
 
อย่ามัวแต่ก้มหน้าชอปปิงในถนน เมื่อเดินใกล้ถึงริมน้ำให้เงยหน้าสำรวจอาคารสองฟาก แล้วจะตะลึง กับเรือนแถวเก่า บ้านโบราณ ซุ้มประตู หน้าต่าง ฉลุลายสวยงาม บางทีก็เรียกกันว่าเรือนขนมปังขิง สถาปัตยกรรมเก่าแก่เหล่านี้เป็นที่ศึกษาดูงานของนักศึกษาด้านสถาปัตยกรรมแทบทุกปี
 
 ดิเรก ก้อนกลีบ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ก็ยังต้องเดินมาชอปปิงกาดกองต้าแทบจะ ทุกสัปดาห์ ท่านผู้ว่าฯ เล่าให้ฟังว่า กาดกองต้าเป็นวิถีเก่าของคนลำปางแบบดั้งเดิมที่คนกับแม่น้ำอยู่ร่วมกัน เป็นน้ำใจแบบคนล้านนา เราจะเห็นพ่อ แม่ ลูกช่วยกันทำสินค้าแล้วมานั่งขายด้วยกัน นักเรียนบางกลุ่มก็นำงานฝีมือที่เตรียมไว้มาขาย แม้กระทั่งโรงเรียน เช่นโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารี แสดงฟ้อนรำแบบชนเผ่าทุกเดือน เคยทำสถิติสูงสุดได้เงินบริจาคแค่คืนเดียวถึงสี่หมื่นบาท
 
ท่านผู้ว่าฯ ให้คำมั่นว่า จะส่งเสริมให้กาดกองต้าอยู่ในแนวทางล้านนาแบบนี้ต่อไป แต่อาจจะปรับรูปแบบของสินค้าให้เป็นแบบล้านนามากขึ้น โดยเฉพาะงานศิลปหัตถกรรม จะได้เพิ่มเสน่ห์ของกองต้า
 
กาดกองต้า อาจจะยังเล็ก งานศิลปหัตถกรรมอาจจะยังไม่มากเท่าถนนคนเดินของชาวเชียงใหม่ แต่สิ่งที่มากกว่าก็คือ ความเข้มแข็งของชุมชน ความร่วมมือร่วมใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จึงทำให้เราหลงรักกาดกองต้าแบบเต็ม ๆ.   

‘ปรารถนา ฉายประเสริฐ’
.................
คนกองต้าเหนือ
เสาร์ 23
พฤษภา 52

เค้ามองกาดกองต้ากันยังไง? ตอนที่ 3 : ข้อมูลจากเทศบาลนครลำปาง

ประวัติความเป็นมา "กาดกองต้า"
 
ประวัติความเป็นมาของย่านการค้าที่รุ่งเรืองในอดีต ตลาดจีน 
ย้อนอดีตตลาดจีนลำปาง ลำปางในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการต้าทางน้ำที่รุ่งเรือง เป็นเมืองท่าที่สำคัญเชื่อมต่อศูนย์กลางการค้าเมืองปากน้ำโพ (นครสวรรค์) กับภาคเหนือตอนบน 

เป็นแหล่งกระจายสินค้าเข้าออก แหล่งชุมชนเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองว่า ตลาดจีนหรือ ตลาดเก่า แม่น้ำวังเป็นเส้นแม่น้ำสายสำคัญของประวัติศาสตร์ เป็นท่าล่องซุงไม้สักของคนต่างชาติที่ได้รับสัมมปทานทำกิจการป่าไม้ทำรายได้มากมายเป็นแหล่งสะสมทุนหลักของพ่อค้าในลำปาง อดีตการคมนาคมไม่สะดวก การทำมาหากินของคนชาวลำปางอยู่ในระบบเศรษฐกิจเพื่อยังชีพ มีการผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเอง ผลผลิตส่วนใหญ่เป้นพืชไร่ ผลผลิตจากป่า 

การค้าระหว่างเมืองในเขตภาคเหนือด้วยกันเป็นการค้าโดย พ่อค้าวัวต่าง ซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาในหมู่บ้านรวบรวมผลผลิต เช่น เมี่ยง ยาเส้น ครั่ง ของป่า ฯลฯ ขายให้แก่พ่อค้า ในเมือง ขากลับนำสินค้าที่ต้องการมาขายในหมู่บ้าน เช่น เกลือ เครื่องเหล็ก ปลาแห้ง ฯลฯ 

การค้าทางไกลทางบกเป็นการค้าระหว่างเมืองไกลชายแดน เช่น พม่า ยูนนาน รัฐฉาน เมืองมะละแหม่ง และเชียงตุง ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าพื้นเมือง ทั้งพม่า ไทยใหญ่ และจีนฮ้อ มีพ่อค้าวัวต่างพื้นเมืองบ้าง พ่อค้าวัวต่างส่วนใหญ่เป็นการค้าเชื่อมระหว่างลำปาง พะเยา เชียงราย น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ การค้าทางบกดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ประมาณปี  พ.ศ. 2372 เป็นต้นมา 

ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2420 เส้นทางการค้าได้เปลี่ยนจากทางบำเป็นการค้าระหว่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ มีศูนย์กลางการค้าอยู่ที่เมืองปากน้ำโพ เนื่องจาก การทำป่าไม้สักส่งออก เปลี่ยนจากเส้นทางแม่น้ำสาละวินมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา (ปิง วัง ยม น่าน) เส้นทางบกค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป แม่น้ำวังกลายเป็นแม่น้ำสายประวัติศาสตร์ การล่องซุงไม้สักออกจากลำปางเพื่อรวมกันที่ปากน้ำโพผูกเป็นแพซุงล่องสู่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องหลายสิบปีของบริษัททำไม้ฝรั่ง 

การก่อตัวของชุมชนตลาดจีน 
ลำปางเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความเป็นมามากกว่าพันปี นอกจากคนเมืองยังมีคนไทลื้อ อพยพมาจากเมืองเชียงแสน พม่ามาทำป่าไม้และค้าขาย ชาวอังกฤษได้สัมปทานป่าไม้ 

ขมุมารับจ้างแรงงาน ส่วนใหญ่จะมารวมตัวอยู่บริเวณตลาดจีนเพราะเป็นแหล่งจอดท่าเรือ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศบริเวณแม่น้ำวังมีเกาะกลางแม่น้ำ (ที่ตั้งบริเวณวัดเกาะในปัจจุบัน) กั้นแบ่งแม่น้ำวังออกเป็นสองสาย ด้านที่ติดต่อกับฝั่งชุมชนตลาดจีนเป็นช่องแคบและตื้นเหมาะเป็ฯที่จอดเรือ จังกลายเป้ฯแหล่งชุมชนมีคนมาขนถ่ายสินค้าขึ้นลง ยังเป็นที่จอด กองคาราวาน (กองเกวียน) จากต่างแดนมาจอดเพื่อรอรับสินค้านำไปขายอีกต่อหนึ่ง ประการสำคัญเป้ฯท่าน้ำรวบรวมซุงจากป่าไม้ต่าง ๆ เพื่อนำล่องปากน้ำโพต่อไป 

จากปัจจัยดังกล่าว ตลาดจีนเดิมเป็นท่าจอดเรือขนถ่ายสินค้าและเป็นท่าล่องซุงพ่อค้าส่วนใหญ่จะขึ้นล่องกับเรือ อาศัยเพิงปลูกค้าขายและนอนพักชั่วคราว บริเวณนี้เป็นที่ตั้ง สำนักงานป่าไม้บริษัทตะวันตกต่าง ๆ ชาวพม่าที่เป็นเฮดแมนต้องทำการควบคุมการล่องซุง ดูแลกิจการจังมีการปลูกสร้างอาคารขขึ้นมาเพื่อเป็นสำนักงานเป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง และใช้เป็นที่พักอาศัยรับรองตัวแทนบริษัททำไม้ของชาวต่างชาติมาตรวจงานป่าไม้ พร้อมกับต้องอำนวยความสะดวกมีสินค้าฝรั่งต่าง ๆ ขายให้ จึงเป็นแหล่งการค้าขายในตัวมันเอง 

ช่วงแรก ๆ พ่อค้ามักจะเป็นชาวไทใหญ่ พม่า เงี้ยว และพ่อค้าวัวต่าง ซึ่งมีฐานะจากการทำงานให้บริษัทป่าไม้ฝรั่งพร้อมกบการค้าขาย ต่อมาเมื่อการคมนาคมทางน้ำเริ่ม มีความสำคัญพ่อค้าคนจีนเริ่มเดินทางเข้ามาพร้อมเรือสินค้า เป็นกุลีรับจ้าง มาพบทำเลที่เหมาะ ประกอบกับความขยันขันแข็ง มีหัวการค้าที่ดีกว่าจึงเริ่มเข้าครอบงำ มีบทบาททางการค้า แย่งเบียดเบียนชาวไทใหญ่ พม่าออกไปจากตลาดการค้า 

พ่อค้าจีนส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายจีนไหหลำและจีนแคระนิยมถักผมเปียยาวเป็นคนจีนอพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อมีช่องทางทำมาหากินได้ชักชวนกันมาอยู่มากขึ้น และครอบงำคนพื้นเมืองตั้งเดิมเกือบหมด มองไปทางไหนก็มีแต่คนจีนทำการค้าขายจึงเรียกว่า ตลาดจีน หรือเปลี่ยนเป็นตลาดเก่า สมัยนิยมไทยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็น ยุคทองของชาวจีนอีกครั้ง เมื่อบทบาททางการเดินทางรถไฟมาถึงลำปางครั้งแรก เมื่อ 1 เมษายน 2459 เป็นการเปิดด่านเชื่อมระหว่างลำปางกับเมืองเหนือ ผนวกควบกับส่วนกลางกรุงเทพฯ เป็นผลกระทบต่อสังคมเศรษฐกิจวิถีชีวิตของคนลำปางที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและต่อเนื่อง
จวบจนปัจจุบัน

กาดกองต้า 
ย้อนอดีตตลาดจีนลำปาง ลำปางในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการต้าทางน้ำที่รุ่งเรือง เป็นเมืองท่าที่สำคัญเชื่อมต่อศูนย์กลางการค้าเมืองปากน้ำโพ (นครสวรรค์) กับภาคเหนือตอนบน เป็นแหล่งกระจายสินค้าเข้าออก แหล่งชุมชนเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองว่า ตลาดจีนหรือ ตลาดเก่า 

แม่น้ำวังเป็นเส้นแม่น้ำสายสำคัญของประวัติศาสตร์ เป็นท่าล่องซุงไม้สักของคนต่างชาติที่ได้รับสัมมปทานทำกิจการป่าไม้ทำรายได้มากมายเป็นแหล่งสะสมทุนหลักของพ่อค้าในลำปาง อดีตการคมนาคมไม่สะดวก การทำมาหากินของคนชาวลำปางอยู่ในระบบเศรษฐกิจเพื่อยังชีพ มีการผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเอง ผลผลิตส่วนใหญ่เป็นพืชไร่ ผลผลิตจากป่า การค้าระหว่างเมืองในเขตภาคเหนือด้วยกันเป็นการค้าโดย พ่อค้าวัวต่าง ซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาในหมู่บ้านรวบรวมผลผลิต เช่น เมี่ยง ยาเส้น ครั่ง ของป่า ฯลฯ ขายให้แก่พ่อค้า 
ในเมือง ขากลับนำสินค้าที่ต้องการมาขายในหมู่บ้าน เช่น เกลือ เครื่องเหล็ก ปลาแห้ง ฯลฯ 

การค้าทางไกลทางบกเป็นการค้าระหว่างเมืองไกลชายแดน เช่น พม่า ยูนนาน รัฐฉาน เมืองมะละแหม่ง และเชียงตุง ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าพื้นเมือง ทั้งพม่า ไทยใหญ่ และจีนฮ้อ มีพ่อค้าวัวต่างพื้นเมืองบ้าง พ่อค้าวัวต่างส่วนใหญ่เป็นการค้าเชื่อมระหว่างลำปาง พะเยา เชียงราย น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ การค้าทางบกดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ประมาณปี 

พ.ศ. 2372 เป็นต้นมา ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2420 เส้นทางการค้าได้เปลี่ยนจากทางบำเป็นการค้าระหว่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ มีศูนย์กลางการค้าอยู่ที่เมืองปากน้ำโพ เนื่องจาก การทำป่าไม้สักส่งออก เปลี่ยนจากเส้นทางแม่น้ำสาละวินมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา (ปิง วัง ยม น่าน) เส้นทางบกค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไป แม่น้ำวังกลายเป็นแม่น้ำสายประวัติศาสตร์ การล่องซุงไม้สักออกจากลำปางเพื่อรวมกันที่ปากน้ำโพผูกเป็นแพซุงล่องสู่กรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องหลายสิบปีของบริษัททำไม้ฝรั่ง 

เมื่อทางรถไฟสายเหนือมาถึงลำปางและขยายต่อไปถึงเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 2464 การคมนาคมทางบกสะดวกขึ้น ทางน้ำค่อย ๆ ลดบทบาทหมดความสำคัญลงตามลำดับ เป็นเหตุให้แหล่งชุมชนการค้าย่อย ๆ ย้ายไปบริเวณสถานีรถไฟลำปาง สบตุ๋ย ในเวลาต่อมาประจวบกับการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดลำปาง เพื่อเป็นทางผ่านไปพม่า เข้ายึดบริเวณต่าง ๆ โดยเฉพาะย่านการค้าตลาดจีน ด้วยเหตุต้องการยึดครองยุทธปัจจัย ทำให้ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ในชุมชนตลาดจีนของคนเชื้อสายจีน พม่า และฝรั่งต้องอพยพ หนีภัยสงคราม การไม้ต้องยุติลงโดยปริยาย ชุมชนตลาดจีนจากเดิมเป็นแหล่งศูนย์กลางการค้าทางเรือที่เจริญค่อย ๆ ลดบทบาททางการค้าและกลายมาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน 

แม้ว่าประวัติศาสตร์ผ่านไป แต่คุณค่าของชุมชนที่เรียกว่า ตลาดจีน ยังคงปรากฏริ้วรอยความเจริญ การอนุรักษ์สภาพอาคาร ร้านค้า ในอดีตที่ยังคงคุณค่าของสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมตามแบบสถาปัตยกรรมที่นิยม ตามเชื้อสายของผู้เป็นเจ้าของที่ปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัยและประโยชน์ในการค้า ฝีมือที่แสดงออกได้บ่งชี้ความสามารถในเชิงศิลปะและ ความรุ่งเรืองในอดีตที่ผ่านมา
นับร้อยปีจวบปัจจุบัน     

ท่าน     สัมผัสหรือยัง      มนต์ขลัง  ตลาดจีน 
..................
ข้อมูลจากท่องเที่ยว เทศบาลนครลำปาง ให้ภาพที่มีรายละเอียดและเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบเศรษฐกิจ และผู้คนที่เปลี่ยนผ่านในพื้นที่นี้ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

คนกองต้าเหนือ
พฤหัส 23
พฤษภา 52

เค้ามองกาดกองต้ากันยังไงบ้าง? ตอนที่ 2 : สายตา Thai Travel Guide

ตลาดกองต้า ถนนคนเดินนครลำปาง

http://www.thaitravelhealth.com/blog/กาดกองต้า-ลำปาง/


กาดกองต้า หรือ ตลาดจีน ที่ชาวบ้านเรียกติดปาก เป็นย่านตลาดเก่าตั้งอยู่ขนานกับลำน้ำวัง บนถนนตลาดเก่าตลอดทั้งสาย จุดเริ่มต้นอยู่บริเวณ เชิงสะพานรัษฎาไล่ไปจนสุดปลายถนนย้อนเวลากลับไปเมื่อกว่า 100 ปี (ราวสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ภาพความคึกคักจอแจ ขวักไขว่ เต็มไปด้วยผู้คน จะมีอยู่ตลอดย่านนี้ด้วยเพราะในยามนั้น กาดกองต้า เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของ เมืองลำปาง และของภาคเหนือ

กาดกองต้า ตลาดโบราณ แหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะ วัฒนธรรม ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองลำปาง

กาด คือ ตลาด เป็นภาษาท้องถิ่นล้านนา(คำเมือง)
กองต้า คือ ตรอกท่าน้ำ
กาดกองต้า ก็คือ ตลาดบริเวณตรอกท่าน้ำ

เมืองลำปางในอดีต เป็นหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรล้านนา แม้ไม่ได้เป็นศูนย์กลางอาณาจักรอย่างเมืองเชียงใหม่ แต่โดดเด่นเป็นเมืองท่าค้าขาย ในยุคที่การเดินทางทางบกยังมีความยากลำบาก ด้วยอุปสรรคทางธรรมชาติที่เต็มไปด้วยป่าเขา ถนนหนทางก็ยังไม่มีมากมายสะดวกสบายดังเช่นในวันนี้ การคมนาคมจึงต้องใช้ทางน้ำเป็นสำคัญ ทั้งการเดินทางไปมาหาสู่ และทำมามาค้าขาย

การลำเลียงสินค้าเส้นทางเหนือ ไม่ว่าจะเป็นการนำสินค้าจากเหนือลงไป "เมืองใต้" ซึ่งหมายรวมถึงดินแดนที่อยู่ใต้ดินแดนล้านนาลงไปทั้งหมด และการขนถ่ายสินค้า ที่มาจากต่างประเทศผ่านท่าเรือเมืองบางกอก หรือสินค้าจากเมืองใต้ขึ้นมา ล้วนแต่ใช้การล่องเรือมาตามแม่น้ำสายหลัก ล่องเข้าลำน้ำวังสุดทางที่ เขลางค์นคร หรือ นครลำปาง ท่าน้ำใหญ่เชิงสะพานรัษ กาดกองต้า จึงรับบทบาทเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ซื้อขายแลกเปลี่ยน และกระจายสินค้าไปตามหัวเมืองต่างๆ โดยวิธีขนส่งทางบก ใช้รถต่าง ม้าต่าง หรืออืนๆต่อไป

กาดกองต้า  ศูนย์การค้าสำคัญ จึงคับคั่งไปด้วยพ่อค้าวานิชผู้มั่งคั่งหลายหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย พม่า จีน และฝรั่ง การผสมผสานทางวัฒนธรรมจึงเกิดขึ้น และที่แสดงออกเห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนคือสถาปัตยกรรมนานาชาติ ที่แสดงผ่านบ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง มีทั้งเรือนแบบไทยภาคกลาง เรือนล้านนา เรือนพม่า และที่สำคัญดูจะโดดเด่นเห็นจะเป็นเรือนแบบจีน และเรือนขนมปังขิงแบบฝรั่งตะวันตก ทั้งนี้อาจเพราะในสมัยนั้นประเพณีราชนิยมแบบตะวันตกกำลังได้รับความนิยมสูง สุดในภาคกลาง ชาวตะวันตกเข้ามามีความสัมพันธ์กับสยามมากมาย จะด้วยบทบาทใดก็ตาม แต่รูปแบบสถาปัตยกรรมงามแปลกตา ที่นำมาเผยแพร่ก็เป็นที่ถูกใจของชาวสยาม นำมาประยุกต์ใช้สร้างบ้านเรือนเป็นที่สวยงาม ระบาดไปเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ รวมทั้งที่กาดกองต้า ก็มีเรือนฝรั่งผสมจีนแบบนี้อยู่หลายแห่ง 

กาดกองต้า ได้ถูกลดบทบาทลงจนไม่เหลือภาพของความมั่งคั่ง จอแจดังในอดีต แต่สิ่งที่ยังดำรงค์อยู่คือ ชุมชนและวิถีของผู้คนที่วันนี้ได้ถูกเรียกขานว่าเป็น "ชุมชนย่านตลาดเก่า" รวมทั้งอาคารสิ่งก่อสร้างหลากวัฒนธรรม อันเป็นมรดกล้ำค่า เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว ผู้โหยหาอดีตอันคลาสสิก การเดินชมกาดกองต้าในวันนี้ ต้องถือว่าเป็นรายการท่องเที่ยวเมืองลำปางที่ต้องไม่พลาดชม และมีบรรยากาศหลากหลายให้เลือกสัมผัส

ถ้าต้องการความสงบเย็นซึมซับบรรยากาศ ชื่นชมกับสถาปัตยกรรม ต้องชมในวันธรรมดา จันทร์-ศุกร์

ถ้าต้องการความคึกคักของผู้คน สนุกสนาน มีตลาดถนนคนเดิน  ต้องเดินในวัน เสาร์-อาทิตย์
.....................

อันนี้มาจาก Thai Travel Guide ครับ

คนกองต้าเหนือ
เสาร์ 23
พฤษภา 52

เค้ามอง กาดกองต้ากันยังไงบ้าง? ตอนที่ 1 : ในสายตาเชียงใหม่นิวส์

"เค้ามอง กาดกองต้ากันยังไงบ้าง?"
นี่เป็นคำถามเริ่มต้น เพื่อรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูด บอก เล่า เกี่ยวกับกาดกองต้า หรือแม้อาจจะมีสุ้มเีสียงจากคนในบ้าง 
แต่ก็ไม่ได้เป็นโทนหลักในการนำเสนอมุมมองจากท้องถิ่น ในที่นี้เห็นว่าการรู้จักตนเอง ผ่านการมองของคนอื่น
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราพึงจะทำความเข้าใจด้วย

ในส่วนนี้ขอเริ่มด้วยมุมมองของ เชียงใหม่นิวส์ ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2549 ในปีที่ 2 ของการเกิดขึ้นของกาดกองต้าถนนคนเดิน
..................................
กาดกองต้า ย่านการค้าเก่าของเมืองลำปาง

บทความจาก เชียงใหม่นิวส์
วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 16:08:55
http://www.chiangmainews.co.th/cmndc_open.php?nid=49
..................................
ชุนชนที่เข้ามาทำธุรกิจ การทำไม้และค้าขายในสมัยนั้นได้แก่ ชาวอังกฤษ พม่า อินเดีย และชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของที่นี่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่า "ตลาดจีน" และเนื่องจากบริเวณย่านนี้มีคนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ อาคารบ้านเรือนที่ปลูกจึงมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างยุโรป พม่า จีน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลำปางที่มีมานานกว่า 100 ปี

         นครลำปาง หนึ่งในหัวเมืองของอาณาจักรล้านนาที่มีอายุมากกว่า 1,300 ปี ลำปางเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญและมีเหตุการณ์ที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย มีร่องรอยเมืองโบราณ วัดวาอารามและศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนลำปางที่ต้องจารึกเอาไว้ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งดินแดนล้านนาเสียด้วยซ้ำ
         เมืองลำปางนี้เองที่เป็นบ้านเกิดของหนานทิพช้าง วีรบุรุษต้นตระกูล เจ้าเจ็ดตน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นราชวงศ์ของเจ้าเมืองเหนือในสายสกุล ณ เชียงใหม่, ณ ลำปาง , ณ ลำพูน และเป็นบ้านเกิดของพระยาพรหม กวีเอกแห่งล้านนาผู้มีประวัติชีวิตสุดแสนจะโลดโผนกว่านิยาย รวมทั้งพระแก้วมรกต พระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองไทยก็เคยประดิษฐานอยู่ในจังหวัดลำปางนานถึง 32 ปี

          ในสมัยล้านนา ราชวงศ์พระยามังราย เขลางค์นครหรือนครลำปางก็ยังเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของอาณาจักรล้านนา ในยุคนี้ตำนานพื้นเมืองจะเรียกชื่อว่า "เมืองนคร" เจ้าเมืองมียศเป็นหมื่น เมื่อครั้งที่เชียงใหม่ทำสงครามแย่งชิงหัวเมืองเหนือกับพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา เมืองลำปางจึงกลายเป็นที่ตั้งของกองทัพทหารแห่งล้านนา พระเจ้าติโลกราชแต่งตั้งหมื่นด้งนครเป็นแม่ทัพ ซึ่งสามารถตีเมืองเชลียงไว้ได้
           นครลำปางเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรล้านนามานานจนถึงพ.ศ. 2101 อาณาจักรล้านนาก็ถูกพม่าแผ่อำนาจเข้ามาปกครอง เป็นเวลากว่า 200 ปี บางครั้งก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยาบ้าง วิถีชีวิตความเป็นไปของนครลำปางและเจ้าผู้ครองนครก็คล้ายคลึงกับเจ้าเมืองล้านนาอื่น ๆ คือต้องปกครองบ้านเมืองอยู่ตรงกลางระหว่าง 2 อาณาจักร คืออาณาจักรอังวะของพม่าและอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา

           จากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้ยืนยันให้เห็นว่า เมืองเขลางค์นคร หรือ นครลำปาง เป็นเมืองของคนกล้าสามารถ แม้แต่ในปัจจุบัน ในบรรดาคนเมืองด้วยกันก็ยอมรับกันว่าคนลำปางเป็นคนดุ เฉียบขาดชนิดที่เรียกว่าทำอะไรทำจริง คุณสมบัติที่ว่านี้คงจะเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของชาวลำปางที่เพาะบ่มฝังรากลึกมานาน ซึ่งจะเห็นได้จากมรดกทางศิลปกรรมและผลงานทางด้านวัฒนธรรมที่ปรากฏอยู่ในบริเวณเมืองลำปาง ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม เช่น วัดพระธาตุลำปางหลวง โดยเฉพาะซุ้มประตูและบันไดทางขึ้นด้านหน้าวัดที่มีความงดงามเฉียบขาด ไม่มีที่เปรียบทั้งในแง่ความสวยงาม สุนทรียศาสตร์ ฝีมือ ชั้นเชิงช่าง จนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าศิลปกรรมในลำปางนั้นเป็นสุดยอดของศิลปกรรมล้านนาเลยทีเดียว

            ในด้านการค้า เมืองลำปางอาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางการค้า อันดับ 2 รองจากเชียงใหม่ เพราะนับตั้งแต่อดีตก่อนที่จะมีการสร้างทางรถไฟสินค้าต่างๆที่มาจากทางเรือจะมาขึ้นท่าที่จังหวัดลำปาง ก่อนที่จะขนถ่ายโดยใช้วัวเทียมไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน 

            สินค้าจากทางเรือที่เดินทางมาจากกรุงเทพบนเส้นทางแม่น้ำวัง จากทางใต้ได้แก่ ฝ้าย ผ้าฝ้าย น้ำมันก๊าด เทียนไข ไม้ขีดไฟ บุหรี่ เกลือทะเล เป็นต้น ระหว่างปีพ.ศ. 2413-2440 มีบันทึกการเดินทางของ โฮลท์ ฮอลด์เล็ท ระบุว่าในรอบ 1 ปีมีปริมาณการค้าระหว่างเชียงใหม่กับเมืองอื่น ๆ คือ

การค้าระหว่างมณฑลยูนนานของจีนตอนใต้ และเชียงใหม่ ใช้วัวต่าง ม้าต่างและลาต่างราว 700 - 1,000 ตัว
การค้าระหว่างเชียงตุงและรัฐฉาน เชียงรุ่งและเชียงใหม่ ใช้วัวต่าง ม้าต่าง ลาต่าง 7,000 - 8,000 ตัว
การค้าระหว่างเชียงใหม่กับละกอน(ลำปาง) ใช้วัวต่างประมาณ 500 - 600 ตัว
การขนสินค้าระหว่างเชียงแสนกับเชียงใหม่ ใช้ช้างประมาณ 1,000 เชือก
การค้าระหว่างเชียงใหม่กับหลวงพระบาง ใช้ลูกหาบประมาณ 5,000 คน
การค้าระหว่างเชียงใหม่กับพม่า ใช้ลูกหาบประมาณ 4,000 คน

         แหล่งชุมชนการค้าทางเรือที่มีความสำคัญในอดีตของลำปาง ได้แก่ ชุนชนการค้าบริเวณย่านตลาดจีนเก่า หรือ กาดกองต้า ซึ่งตั้งอยู่บนถนนตลาดเก่าริมฝั่งแม่น้ำวัง เคยเป็นตลาดขายสินค้าที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีความคึกคักมากที่สุดในยุคของเจ้านรนันชัยชวลิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง ระหว่างปี พ.ศ. 2430 - 2440 ความสำคัญของกาดกองต้านอกจากเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าแล้ว ในอดีตที่แห่งนี้ยังเป็นท่าสำหรับล่องไม้สักลงไปขายที่จังหวัดนครสรรค์อีกด้วย

         ชุนชนที่เข้ามาทำธุรกิจ การทำไม้และค้าขายในสมัยนั้นได้แก่ ชาวอังกฤษ พม่า อินเดีย และชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของที่นี่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกว่า "ตลาดจีน" และเนื่องจากบริเวณย่านนี้มีคนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ อาคารบ้านเรือนที่ปลูกจึงมีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างยุโรป พม่า จีน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลำปางที่มีมานานกว่า 100 ปี

         อาคารสำคัญที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของย่านตลาดจีน ได้แก่ อาคารพานิชสีแดง อาคารหม่องหงิ่วสิ่น อาคารกวงฮั่วหลีเก่า ร้านบุญส่งและบ้านแม่แดง เป็นต้น 

          จะเห็นว่า การที่ชุมชนชาวจีนบริเวณกาดกองต้า ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำวังจึงมีโอกาสที่จะติดต่อเชื่อมโยงกับชุมชนการค้าอื่น ๆ ทั้งใกล้และไกลออกไป ดังกล่าวข้างต้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีผู้คนเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายและตั้งถิ่นฐาน หลายเชื้อชาติ หมายภาษา รัฐบาลกรุงเทพฯจึงได้ให้ความสำคัญกับเชียงใหม่มากกว่าหัวเมืองอื่นในล้านนา เพื่อควบคุมดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือหรือหัวเมืองล้านนาทั้งหมดอีกด้วย

           ปัจจุบัน ย่านตลาดจีนหรือกาดกองต้า ยังคงกลิ่นอายมนต์เสน่ห์แห่งการค้าริมฝั่งแม่น้ำวังเอาไว้ แม้ว่าจะไม่คึกคักเหมือนแต่เก่า ทว่าอาคารต่าง ๆ เหล่านี้ยังคงได้รับการอนุรักษ์รักษาเป็นอย่างดีรวมถึงวิถีชีวิตของชุมชนยังคงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพากันเข้ามาเยือนชุมชนแห่งการค้าตลาดจีนเก่าเป็นจำนวนมาก
.............................
คนกองต้าเหนือ
เสาร์ 23
พฤษภา 5